Friday, August 9, 2013

คณะผู้จัดทำ

1.นางสาว อาทิตยา แอ่นฟ้า   รหัสนักศึกษา56152622

2.นางสาวสุพรรษา หน่วยจันทึก รหัสนักศึกษา56152617

3.นางสาวศิรินยา จวบนก รหัสนักศึกษา 65152611

5.นายอิสระ ตอนะรักษ์ รหัสนักศึกษา 56152663


ผู้ให้ความรู้


ชื่อ:นายอิสระ   ตอนะรักษ์
ที่อยู่: 9/9 หมูบ้านดอนชัย ตำบลป่าแดด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
เบอร์โทรติดต่อ:087-187-534-4
อาชีพ:นักศึกษา คณะมนุยษศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่



ขั้นตอนและวิธีการทำ


นำเงินเหรียญ ๕บาท และ ๑๐บาทมาทาบบนแผ่่นนาคและนำปากกาหรือของแหลมมาวาดให้เกิดรอยเป็นรูปวงกลมจนเต็มแผ่น

เมื่อวาดเต็มแล้วก็นำกรรไกรมาตัดตามรอยวงกลมที่วาดไว้ให้สวยงามโดยจะใช้รูปวงกลมเหรียญ ๕บาท๓วง ๑๐ บาท๒วง

กรีดกลีบดอกไม้ที่ตัดแล้วให้เป็นรอยกลีบดอกจนครบทุกกลีบให้สวยงาม

ตัดให้ปลายกลีบดอกโค้งแหลมสวยงาม

 นำลวดทองที่เตรียมไว้มาดัดโดยใช้คีมดัดจากนั้นนำลวดขดเข้ากับเข็มร้อยมาลัยให้มีรูปแบบคล้ายกับสปริงจนสุดเข็ม


เจาะรูตรงกลางเพื่อใส่ลวดที่เราทำการม้วนไว้แล้ว

สุดท้ายนำลวดที่ขดไว้มาสอดเข้ารูดอกที่เจาะไว้ก็จะได้ดอกบานไม่รู้โรยที่ทำจากแผ่นนาคไว้แซมผมยามมีงานหรือยามไปวัด


วีดีโอขั้นตอนการทำ

ภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำปิ่นดอกไม้ไหว

วัสดุอุปกรณ์

1.แผ่นนาคสามสี ทอง,เงิน,ทองแดงใช้ทำตัวดอกและใบ

2.เงินเหรีญ 5บาท และ  10บาท ใช้เป็นแม่แบบในการวาดวงกลม

3.ปากกาที่หมึกหมดใช้วาดและเขียนลายลงบนแผ่นนาค

4.กรรไกรตัดกระดาษใช้ตัดแผ่นนาคให้เป็นรูป

5.ลวดเงิน ลวดทองใช้ขดให้เป็นสปริงทำเป็นก้านดอก

6.คีบดัดลวดและคีบปากจิ้งจกให้ดัดลวดให้เป็นรูป

7.เข็มร้อยมาลัยใช้เป็นหลักในการขดลวดให้เป็นรูป




รูปแบบของปิ่น

ปิ่นดอกไม้ไหวที่ทำจากใบนาคสีทอง

ช่อดอกไม้ไหว

ปิ่นดอกโชคทำจากใบนาคสีทองแดง

ปิ่นแบบช่อเถาว์

ปิ่นสปริงแบบที่ใช้แซมผมช้างฟ้อน


ปิ่นดอกพิกุลและดอกบานไม่รู้โรย

ข้อมูลดอกไม้ที่นิยมนำมาแซมผม


1.เอื้องผึ้ง

ที่มา:http://thummada.com/php_upload3/raklengchan50-06.jpg

ชื่อ: เอื้องผึ้ง
ชื่อ:วิยาศาสตร์: Dendrobium lindleyi   Steud.
ชื่อวงศ์: ORCHIDACEAE
ลักษณะ: กล้วยไม้อิงอาศัย สูง 6-10 ซม. ลำลูกกล้วยรูปรี เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 ซม. ใบ รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 3 ซม. ยาว 8-10 ซม. ดอก ออกเป็นช่อตามข้อ ห้อยลง ก้านช่อยาว 15-25 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีเหลืองเข้ม กลีบปาก แผ่กว้าง รูปรีแกมกลม มีแต้มสีส้ม ที่โคนกลีบและมีขนนุ่ม ดอกบานเต็มที่กว้าง 3 ซม. มีกลิ่นหอม พบทั่วประเทศตามป่าผลัดใบ หรือป่าดิบ ที่ระดับความสูง 300-1,500 เมตร ออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายายน

ตำนานเอื้องผึ้ง จันผา
ตำนานเล่าขานมาว่า แต่เดิมเอื้องผึ้งและจันทร์ผานั้น เป็นคู่รักกัน ทั้งสองให้สัญญาว่าจะรักกันตลอดไป ไม่พรากจากกัน ถ้าหากแม้นคนหนึ่งตายไป อีกคนหนึ่งก็ไม่ขออยู่ต่อ และแล้วโศกนาฏกรรมก็มาถึง หนุ่มจันทร์ผา พาสาวเอื้องผึ้งไปเที่ยวที่ดอย เขาเห็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง มีกลิ่นหอม งอกอยู่ที่ต้นไม้ริมผา จึงคิดจะเก็บมาให้สาวเอื้องผึ้ง คนรักของตน จึงปีนไปเก็บดอกไม้ชนิดนั้นมา แม้เอื้องผึ้งจะห้ามแต่จันทร์ผาก็ยังพยายามจะไปเด็ดดอกไม้มาให้ได้ และแล้วในที่สุดสิ่งที่เอื้องผึ้งกลัวก็เป็นความจริง จันทร์ผาพลาด ตกลงไปในเหว เลือดไหลนอง คอหัก ตายสนิท เอื้องผึ้งร่ำไห้ หัวใจแตกสลาย จึงวิ่งเอาหัวชนกับแง่หินที่หน้าผา ตายตามจันทร์ผา เหมือนที่เคยให้สัญญาว่าจะรักกันตลอดไปดอกไม้ที่จันทร์ผาพยายามจะเก็บนั้น ต่อมาคนให้ชื่อว่า ดอกเอื้องผึ้งส่วนที่ๆจันทร์ผาตกลงไปตาย ก็มีต้นไม้ชนิดหนึ่งงอกขึ้นมา ผู้คนกล่าวขานเรียกว่า ต้นจันทร์ผาเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ความรักที่ยั่งยืนของคนทั้งคู่ตลอดไป.



2.ดอกเอื้องแซะ
ที่มา : https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWoJKsgH9r5lvTLLUF9UMFwefO9JuZACECoZvL91USsNprgMhT7tpFCPD1ZHowF6u_kyp80O2FnvEbiuKTRl0IeSlIskQJrEBBSQhKiIAXkss0j8ZqCGvJPM2VlGAq-9jQIPxKgpOd5yY/s640/large_aa.jpg


ชื่อ เอื้องแซะ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dendrobium scabrilingue   Lindl.
ชื่อวงศ์  ORCHIDACEAE
ชื่อเรียกอื่น  เอื้องแซะหลวง เอื้องแซะหอมลักษณะ  กล้วยไม้อิงอาศัย ลำลูกกล้วยมีขนสั้นละเอียดสีดำปกคลุม ใบ รูปรี กว้าง 1.5-2.5 ซม. ยาว 5-6 ดอก ออกเดี่ยว หรือเป็นช่อสั้นๆ 1-3 ดอก ออกตามข้อใกล้ปลายยอด ขนาดบานเต็มที่กว้าง 2.5-3 ซม. มีกลิ่นหอมแรง กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีขาว หรืออมเขียวอ่อน กลีบปากสีจะเข้มขึ้น จากสีเหลืองแกมเขียวเปลี่ยนจนเป็นสีเหลืองส้ม หูกลีบปากตั้งขึ้น และมีลายสีเขียวการกระจายพันธุ์  พบขึ้นตามป่าดิบแล้งและป่าสน ในภาคเหนือ ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์

นิทานเรื่องเล่า วิญญาณรักแห่งดอก "เอื้องแซะ"
เอื้องแซะ...ของสูงล้ำค่าคนต่ำใต้ลุ่มฟ้าอย่าหมายได้ชมเชย" ตำนานความรักที่ข้องเกี่ยวกับดอกไม้มีอยู่มากมาย เรื่องที่นำมาเล่าครั้งนี้คือเรื่องของ "เอื้องแซะ" แต่เดิมเบื้องโบราณแต่ก่อนมา "เอื้องแซะ" ถูกจัดว่าเป็นไม้ต้องห้ามของราชวงศ์ล้านนาเมื่อ 700 กว่าปีที่แล้ว
สาวเมืองเหนือนิยมนำดอกเอื้องมาแซมผม ชายใดที่เอาเอื้องแซะแซมผมให้คนรักจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนรักรู้ว่า "เขารักเธอจริงและยกย่องเธอเสมอเหมือนที่เอื้องแซะเป็นของสูงก็ต้องคู่ควรกับสาวเจ้า" "ตำนานรักดอกเอื้องแซะ" ของชาวล้านนาเล่าขานกันมาว่า มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งรักกันมาก วันหนึ่งผู้บ่าวของสาวเจ้าบอกว่าจะไปหาเงินทองของหมั้นมาหมายมั่นสาวเจ้า สาวเจ้าเข้าใจในเหตุผลของคนรักจึงบอกว่าไปเถิดข้าเจ้าจะรอ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ผู้บ่าวก็ไม่กลับมาแม้แต่ข่าวคราวสาวเจ้าก็ไม่ได้รับ เธอไม่แม้แต่สักนิดที่จะคลางแคลงใจว่าคนรักจะลืมเลือนหรือแปรใจให้คนอื่นไปเสียแล้วหรือ แม้แต่ว่าเขาได้ล้มหายตายจากเธอยังคงรอด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง

ทุกคืนก่อนนอนเธอจะไหว้พระอธิษฐานให้คนรักกลับคืน จนถึงเวลาที่เธอต้องละสังขารด้วยจิตที่ยังผูกพันวิญญาณเธอจึงลอยไปหุ้มห่มเป็นขนสีดำเหมือนความเศร้าในจิตใจกับกิ่งก้านดอกเอื้องแซะ...ยามดอกบาน จะส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายดอกพิกุล แต่ไม่ใช่แต่หอมแบบลึกลับ ชวนหลงใหล กลิ่นหอมจะขจรขายไปตามสายลม สาวใดได้กลิ่นนั้นก็เหมือนกับว่าได้มาไว้แซมผม


3.ดอกมะลิ
  แหล่งที่มา : http://motherday.tlcthai.com/wp-content/uploads/2010/07/mali1.jpg

ชื่อวิทยาศาสตร์: Jusminum adenophyllum
ชื่อวงศ์:OLEACEAE
ชื่อพื้นเมือง:มะลิลา, มะลิหลวง, มะลิซ้อน
ลักษณะทั่วไป
มะลิเป็นพรรณไม้ยืนต้น และเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก จนถึงขนาดกลางบางชนิดก็มีลำต้นแบบเถาเลื้อย ลำต้นมีความสูงประมาณ1-3 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีขาวมีสะเก็ดรอยแตกเล็กน้อย ลำต้นเล็กกลมแตกกิ่งก้านสาขาไปรอบ ๆ ลำต้น ใบเป็นใบเดียวแตกใบเรียงกันเป็นคู่ ๆ ามก้านและกิ่งลักษณะของใบมนป้อม โคนใบสอบเรียว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ขนาดใบกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ ออกตามส่วนยอดหรือตามง่ามใบดอกเล็กสีขาวมีกลีบดอกประมาณ 6-8 กลีบ เรียงกันเป็นวงกลมหรือซ้อนกันเป็นชั้นแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ขนาดดอกบานเต็มที่ประมาณ 2-3 เซนติเมตรผลเป็นรูปกลมรีเล็กเมื่อสุกจะมีสีดำภายในมีเมล็ดอยู่1เมล็ดนอกจากนี้ลักษณะของลำต้นและดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธ์
ฤดูกาลออกดอก:  ออกดอกตลอดปี
การดูแลรักษา:  เป็นไม้ที่ชอบแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการน้ำปานกลาง ปลูกในดินร่วนซุย
การขยายพันธุ์:  การปักชำ หรือตอน
การใช้ประโยชน์
    -    ปลูกไว้เป็นไม้ประดับ
    -    ร้อยเป็นพวงมาลัย
    -    ให้ทำดอกไม้แห้ง
    -    น้ำมันหอมระเหย
    -    มีสรรพคุณทางยา
สรรพคุณทางยา
    -    ดอก   มีสรรพคุณแก้อาการท้องร่วง ตาแดง

    -    ราก    เป็นยาแก้ปวด ทำให้ชา ฟันผุ ฟกช้ำ นอนไม่หลับ


4.ดอกพิกุล

ชื่อสามัญ: Bullet Wood
ชื่อวิทยาศาสตร์:Mimusops elengi Linn.
ตระกูล:SAPOTACEAE
ชื่ออื่น:ไกรทอง
ลักษณะทั่วไป
พิกุลทองเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 8-15 เมตร ผิวเปลือกสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกบางๆ ตามยาว ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่นกว้างเป็นทรงกลม ใบออกเรียงสลับกัน ใบมนรูปไข่ปลายแหลม ลักษณะโคนใบมนสอบ ขอบใบโค้งเป็นคลื่นเล็ก ใบเป็นมันสีเขียว ขนาดใบกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร ออกดอกเป็นกระจุกตามง่ามใบ หรือยอด มีกลีบดอกประมาณ 8 กลีบเรียงซ้อนกัน กลีบดอกเป็นจักรเล็กน้อย ดอกเล็กสีขาวนวลมีกลิ่นหอมมาก ผลรูปไข่หรือกลมรี ผลแก่มีสีแสดเนื้อในเหลืองรสหวาน ภายในมีเมล็ดเดียว ขนาดผลกว้างประมาณ 1-2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร


การเป็นมงคล
คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นพิกุลทองไว้ประจำบ้านจะทำให้มีอายุยืน เพราะโบราณเชื่อว่าต้นพิกุลทองเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานและมีอายุยาวนานดังนั้นจึงนิยมใช้เนื้อไม้นำมาใช้ประโยชน์ในงานพิธีมงคลได้เป็นอย่างดี เช่นด้ามหอกที่ใช้เป็นอาวุธ เสาบ้าน พวงมาลัยเรือ และยังมีความเชื่ออีกว่าต้นพิกุลทองเป็นต้นไม้ที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ เพราะโบราณเชื่อว่าเป็นไม้ที่มีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพิกุลทองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผู้ปลูกควรปลูกในวันจันทร์หรือวันเสาร์ เพราะคนโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเองผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี เพราะพิกุลเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสุภาพสตรี
การปลูก
ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง เพาะเมล็ด หรือปักชำกิ่ง
การดูแลรักษา
แสง                  ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ                    ต้องการปริมาณน้ำน้อย ควรให้น้ำ 7-10 วัน/ครั้ง อายุประมาณ 4 ปี สามารถทนต่อสภาพธรรมชาติได้
ดิน                   ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นน้อยถึงปานกลาง
ปุ๋ย                   ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2-3 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4-6 ครั้ง
การขยายพันธุ์   การตอน การเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การเพาะเมล็ด
โรค                 ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร
ศัตรู                หนอนเจาะลำต้น (Stem boring caterpillars)
อาการ              ลำต้นหรือกิ่งเป็นรู เป็นรอย ต่อมาใบแห้งเหี่ยว
การป้องกัน       รักษาความสะอาดบริเวณแปลงปลูก หรือกำจัดแมลงพาหะใช้ยาเช่นเดียวกับการกำจัด
การกำจัด         ใช้ยาไดเมทโธเอท หรือ เมโธมิล อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก

ประโยชน์ทางยา
ส่วนที่ใช้เป็นยาใบ ดอก เมล็ด เปลือกต้น กระพี้ แก่น ราก
ช่วงเวลาเก็บ
ดอกออกตลอดปี ดอกพิกุลส่วนใหญ่เก็บเฉพาะกลีบดอกที่ร่วงหล่นตามโคนต้น ล้างทำความสะอาดแล้วตากแห้ง ใช้เป็นยาหรือเครื่องหอมได้รสและสรรพคุณในตำรายาไทย
1. ใบ รสเบื่อฝาด ฆ่าเชื้อกามโรค แก้หืด
2. ดอก รสหอมสุขุม แก้ลมบำรุงโลหิต
3. เมล็ด รสเฝื่อน ขับปัสสาวะ
4. เปลือกต้น รสฝาด ฆ่าแมงกินฟัน (ฟันผุ) แก้เหงือกอักเสบ
5. กระพี้ รสเมาเบื่อ แก้เกลื้อน
6. แก่น รสขมเฝื่อน บำรุงโลหิต แก้ไข้
7. ราก รสขมเฝื่อน บำรุงโลหิต แก้เสมหะ แก้ลม
ประโยชน์อื่น
เนื่องจากพิกุลเป็นไม้ขนาดใหญ่ บางประเทศใช้เนื้อไม้ในการก่อสร้าง เช่น ขุดเรือทำสะพาน ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี เป็นต้น ลำต้นมักมีเชื้อราทำให้เป็นโรคเนื้อไม้ผุ และมักโค่นล้มง่าย เมื่อมีพายุ ในต้นที่มีอายุมากบางต้นพบว่าเนื้อไม้มีกลิ่นหอม เรียกว่า ขอนดอกเชื่อกันว่าเกิดจากเชื้อราบางตัว ขอนดอกก็นำมาเป็นส่วนประกอบของยาหอมได้เช่นเดียวกับดอกพิกุล


เอกสารอ้างอิง
กวีศิลป์ คำวงค์.(๒๕๕๖)เอื้องคำ เอื้องผึ้ง ดอกเอื้องงามปี๋ใหม่เมือง.ค้นเมื่อ.๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ .จาก:http://www.royalparkrajapruek.org/main3/group3_detail.php?id=36

นานากาเด้นดอทคอม.(๒๕๕๖).ลักษณะพฤกษศาสตร์ของมะลิ.ค้นเมื่อ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๖.จาก. http://www.nanagarden.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B4-10211-13.html

องค์การสวนพฤกษศาสตร์.(๒๕๕๖).เอื้องแซะ.ค้นเมื่อ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๖.จาก:www.qsbg.org/database/botanic.../search_detail.asp?botanic_id=1951

ฮูโต๋.(๒๕๕๖).พิกุล.ค้นเมื่อ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖.จาก.http://board.postjung.com/666076.html






ประวัติความเป็นมา


การไปวัดในสมัยก่อน ในวันบุญใหญ่คนสมัยนั้นจะนำดอกไม้นานาชนิดที่ปลูกไว้ภายในบริเวณบ้าน ธูป เทียน ใส่สวย(กรวย) ที่ทำมาจากใบตองใส่สลุงเงิน(ขันเงิน)ไปวัด ผู้หญิงล้านนาที่ไว้ผมยาวจะเกล้ามวยผมให้สวยงามและจะนำดอกไม้มาเหน็บกับมวยผมตอนไปวัด ในการเหน็บดอกไม้ไปวัดนั้นเชื่อว่าเพื่อเป็นการบูชาหัวและเพื่อเวลาก้มหัวจะเป็นการบูชาพระเจ้า หรือเรียกว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่อง "ขวัญ" ของคนในกลุ่มชาวไต-ลาว ที่เชื่อว่าคนเรามีขวัญอยู่ทั้งหมด 32 ขวัญ การประดับดอกไม้จึงเป็นการบูชาขวัญบนกระหม่อม เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัว การเหน็บดอกไม้ไหวนั้นสมัยก่อนนิยมใช้ดอกไม้สดหรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม อธิเช่น ดอกสะบันงา, ดอกเอื้องแซะ, ดอกพุทธหลวง, ดอกมะลิ, เป็นต้น ซึ่งในอดีตเป็นดอกไม้หายาก แต่เนื่องจากมีกลิ่นหอม สาวๆ จึงนิยมหามาประดับมวยผม ขณะที่เอื้องผึ้งมักใช้ประดับเมื่อมีการฟ้อนและใช้บูชาผีปู่ย่า ส่วนเอื้องแซะที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มักใช้เป็นเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์


          การมวยผมปักปิ่นเป็นเอกลักษณ์การแต่งการแบบล้านนา “ปิ่นปักผม” การใช้ปิ่นปักผมมีประโยชน์ทั้งใช้เพื่อขัดผมให้อยู่ทรง หรือใช้เป็นเครื่องประดับเพื่อเพิ่มความสวยงามให้มวยผม วัสดุที่นำมาทำปิ่นก็มีแตกต่างกันไป เช่น ปิ่นเงิน ปิ่นทองคำ ปิ่นทองเหลือง ปิ่นที่ทำจากเขา-กระดูกสัตว์ “ปิ่นปักผม” มีลักษณะแตกต่างกันออกไปแสดงถึงลักษณะการแต่งกายของในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น “ปิ่นที่แม่แจ่ม” ทำเป็นช่อชั้นคล้ายเจดีย์ ซึ่งปิ่นโบราณที่พบในล้านนาก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ นอกจากนี้ยัง มีปิ่นที่ทำเป็นรูปร่ม ได้แก่ ปิ่นจ้องของชาวไทลื้อ หรือไทเขินในเชียงตุง

แหล่งที่มา:http://www.baanlaesuan.com/plantlover/Webboard/images_board%5
Creply_Q1172A49.jpg


การปักปิ่นการเลือกปิ่นนั้นสะท้อนให้เห็นถึงกาลเทศะทางสังคมอย่างเช่น การเหน็บดอกไม้ไหวไปวัดกับการเหน็บดอกไม้ไหวของ ช่างฟ้อน ในการเหน็บดอกไม้ไหวไปวัดนั้นดอกไม้ที่นำมาจะเป็นดอกไม้หอมสีเรียบๆและใช้เพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ส่วนดอกไม้ที่เหน็บผมช่างฟ้อนจะเป็นแบบใดก็ได้เหน็บเพื่อประดับตกแต่งพิ่มความสวยงามให้มวยผม


การประดับมวยด้วยปิ่น ดอกไม้ไหว ซึ่งทำจากโลหะมีค่า เช่น เงิน ทอง อัญมณี นั้นบ่งบอกถึงฐานะของผู้ใช้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้านายหรือผู้ที่มีฐานะพอสมควร ปิ่นปักผมนั้น คนเหนือเดิมเรียกว่า “หย่อง” เวลาใช้จะมีสายเชือกมัดปลายผมแล้วเสียบตัวปิ่นเข้าไปในมวยผม ปิ่นดอกไม้ไหวแบบโลหะนั้นไม่ได้มีมาตั้งแต่ยุคแรกแต่พึ่งมีมาทำเมื่อยุคหลังน่าจะเป็นของอินโดฯ บาหลีมีเล่าว่าพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่5 ในครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จประพาสชะวา ปัจจุบันดอกไม้ไหวนิยมใช้ประดับในการแสดงต่างๆมากกกว่าการที่จะเหน็บดอกไม้ไหวไปวัด ดอกไม้ไหวโลหะมีหลายแบบแต่ที่นิยมมักจะทำดอกที่เป็นช่อ เช่น ช่องดอกเอื้อง เป็นต้น


แหล่งที่มา

เจ้านางละอองคำ .(๒๕๕๖). การแต่งกายของแม่หญิงล้านนาที่ถูกต้อง.ค้นเมื่อ๓ กรกฏาคม ๒๕๕๖. จาก. http://board.postjung.com/572637.html 

วิลักษณ์  ศรีป่าซาง.ครัวหย้องของงามแม่ญิงล้านนา. พิมพ์ครั้งที่1: จังหวัดเชียงใหม่.สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2547

วิหกพลัดถิ่น.(๒๕๕๖).ปู่จาหัว ยะจะได๋ ผ่อกันเน้อ.....ไป๋แอ่วบ้านสาว โตยป้อครูแอ๊ด ภาณุทัต.ค้นเมื่อ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖.จาก.http://www.oknation.net/blog/print.php?id=129108.